สวัสดีค่ะ ปลายเดือนมิถุนายนนี้ก็ยังถือว่ายังอยู่ในช่วงของเดือน “Pride Month” อยู่เนอะ ทางร้านกลิ่นหนังสือจึงอยากนำพาทุกคนให้มารู้จักนักเขียนแนว fanfiction ที่มีนามปากกาว่า DWIN หรือ “คุณพิม” ผู้ซึ่งเขียน fanfiction จักรวาลพี่สันต์ที่กำลังเป็นแฟนฟิคที่นักอ่านหลายต่อหลายคนกำลังให้ความสนใจกันในตอนนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ตัวละครมีความเกี่ยวเนื่องกันในทุกๆ เรื่องตั้งแต่รุ่นทวดจนถึงรุ่นหลาน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความสนุก ความเศร้า และอีกหลายความรู้สึกที่ผู้อ่านจะสามารถสัมผัสได้หลังจากที่อ่านแฟนฟิคชั่นจักรวาลนี้อย่างแน่นอน เราไปทำความรู้จักคุณพิมกันเลยดีกว่าค่ะ
1. แนะนำตัวได้เลยค่ะ
สวัสดีค่ะ พิม ณภัทร นะคะ เป็นเจ้าของนามปากกา DWIN ค่ะ
2. มีผลงานเรื่องอะไรบ้างเหรอคะ
ตอนนี้หลัก ๆ ที่กำลังรันอยู่คือจักรวาลพี่สันต์ค่ะ เป็นพีเรียดไทย มีทั้งหมด 6 เรื่องในจักรวาลนี้ ก็ชื่อจะเรียงตามกันไปเลยค่ะ หทัยสัตยา ขวัญตาธีรดนย์ ดวงกมลศรัณย์ เท่าชีวันปฐพี ยอดชีวีพินิจนันท์ และตราบอนันต์ศรัณย์วริศค่ะ ตอนนี้กำลังมาถึงเรื่องที่ 3 ค่ะ ส่วนผลงานอื่น ๆ ที่จบไปแล้วก็มี ruination ค่ะ เป็นแนวพีเรียดตะวันตก you left in peace, left me in pieces เป็นแนว slice of life หงส์รุเธียร จะออกแนวเกี่ยวกับความเชื่อของตระกูลสองตระกูล จดหมายจากวันวาน จะบอกว่าเป็นกึ่ง ๆ slice of life ก็ได้มั้งคะ แต่เป็นในช่วงที่ตัวหลักเขาไปเที่ยว ไป vacation ประมาณนี้ค่ะ
3. มีแนวที่ชอบเขียนและแนวที่ชอบอ่านเป็นพิเศษไหมคะ
ที่ชอบเขียน เราไม่แน่ใจว่าแบบนี้เรียกว่าแนวได้ไหม แต่ชอบแบบที่มันจบไม่ดี (หัวเราะ) เขาเรียกว่าอะไร drama ? ประมาณนั้นค่ะ ส่วนที่ชอบอ่าน เราชอบอ่านแนวพาฝันเริงรมย์ กลอนสายลมแสงแดด นิราศเก่า ๆ อะไรแบบนี้ คือจะไม่ค่อยอ่านพวกแนวเพื่อชีวิตสักเท่าไร
4. มีแนวใดที่คิดอยากจะลองเขียนแต่ยังไม่เคยเขียนหรือไม่คะ
มีค่ะ เราอยากแต่งแนวสืบสวนสอบสวน ผี ลึกลับ ๆ อะไรแบบนี้มาก แต่ฝีมือไม่ถึง (หัวเราะ) คือเราวางปมวางอะไรได้ไม่ค่อยแยบยลนะ อย่างผีเราเคยแต่งเรื่องสั้นส่งอาจารย์ในคณะ ได้รับฟีดแบคกลับมาสั้น ๆ ว่า “ไม่สนุก” แบบนี้อะ ใจแป้วเลย แต่เห็นด้วยกับเขาเพราะกลับมาอ่านแล้วก็พบว่าไม่สนุกจริง ๆ (หัวเราะ) ก็เลยถือว่าผีเราเคยเขียนแล้ว แต่อื่น ๆ ที่พูดไปก็ยังค่ะ อย่างลึกลับ ๆ หงส์รุเธียรก็เข้าข่ายแต่มันไม่ขนาดนั้น เพราะอย่างที่เราบอกไปว่าฝีมือยังไม่ถึง แล้วในอนาคตก็ไม่รู้จะถึงด้วยไหมนะ (หัวเราะ)
5. เพราะอะไรทำไมถึงมาเริ่มเขียนนิยายที่มีตัวละครหลักเป็น LGBTQ+ เหรอคะ
อันนี้ต้องบอกก่อนว่าเพราะที่เราเขียนมันเป็นแฟนฟิคชั่น จุดเริ่มมันก็มาจากการติดตามศิลปินนั่นแหละ แล้วเราอยากเขียนนิยายรัก กอปรกับอยากให้มีตัวละครหลักเป็นศิลปินที่ชอบ ซึ่งเราก็คิดว่านิยายรักมันจะเป็นรักในรูปแบบไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องจำกัดกรอบว่าเป็นตามกรอบ binary มันก็เลยออกมาเป็นงานแบบที่ทุกคนเห็น แค่นั้นเลย
6. แรงบันดาลใจในการรังสรรค์งานเขียนค่ะ กว่าจะได้มาเป็น 1 เรื่องนี่เกิดจากแรงบันดาลใจอะไรเป็นพิเศษหรือไม่คะ
อาจต้องเจาะจงเป็นเรื่อง ๆ ไป แต่งานเขียนเราแทบจะ 90% มาจากเพลง ฟังเพลงแล้วนึกอะไรออกก็จด แล้วนำไปต่อยอด ไปคิดต่อ อย่างพวกพีเรียดไทยก็มาจากที่เราชอบฟังเพลงเก่า ๆ ยุคคุณตาคุณยายอยู่แล้ว คุณชรินทร์ นันทนาครนี่คนโปรดเราเลย แล้วก็อาจจะด้วยความที่เราโตมากับผู้สูงอายุในครอบครัวมากกว่าโตมากับป๊ากับแม่ ก็เลยจะได้ยินเรื่องเก่า ๆ อะไรแบบนี้มาเยอะ ไปวัดเราก็ไปกับท่าน ท่านฟังเพลงเราก็ฟังด้วย คนแก่ ๆ เวลาเล่าเรื่องนี่มันน่าฟังมาก ป๊าเราก็เป็นคนชอบอะไรเก่า ๆ วินเทจ ๆ เราคิดว่ามันอาจส่งต่อมาจนเกิดเป็นแรงบันดาลใจค่ะ
7. หลังจากที่ได้เผยแพร่ผลงานของตัวเองออกไปแล้ว มีความคาดหวังใดที่รู้สึกว่าอยากจะได้รับจากการเผยแพร่ผลงานของตัวเองไหมคะ อย่างเช่นเรื่องแรงสนับสนุนอะไรแบบนี้ค่ะ
คือถ้าถามถึงพวกยอดไลก์ยอดแชร์ยอดผู้ติดตาม บอกตรง ๆ เราไม่เคยหวังเลย 0 เพราะรู้ว่างานเรามันไม่น่าจะตลาดเท่าไร หนึ่งคือมันจะดราม่าแหละ สองคือในยุคนี้แฟนฟิคชั่นถ้าจะให้ติดตลาดก็ต้องเน้นแบบแชท บรรยายมีคนอ่านก็จริง แต่ไม่มากเท่าแบบแชท แต่มันมีสิ่งที่เราคาดหวังมาตั้งแต่แรก ๆ แล้วทุกวันนี้ก็ยังหวังอยู่นะ คือเราอยากให้คนรักการอ่านมากขึ้น คนที่ว่าคือวัยเรา ๆ นี่แหละ เพราะคนที่เป็นแฟนคลับตามศิลปินอายุก็คงไล่ ๆ เรา บวกลบนิดหน่อย เขาจะรักการอ่านมากขึ้นได้จากการอ่านนิยายเพื่อความบันเทิง ตอนเด็ก ๆ เราก็เริ่มจากอ่านการ์ตูนสาวดอกไม้กับนายกล้วยไข่ เล่มละ 5 บาท แล้วพอเวลาเปลี่ยน เราโตขึ้น ก็พัฒนาไปอ่านนิยายรัก อ่านเพื่อชีวิต อ่านนั่นอ่านนี่ แนวการอ่านมันเปลี่ยนตามวันเวลาและความคิดของผู้อ่านด้วยเราว่า นั่นคือข้อหนึ่งที่เราคาดหวัง ข้อสองคือ เราว่ายุคนี้ด้วยความที่ทุกอย่างมันเร็วไปหมดเลย การเผยแพร่สาร การให้ข้อมูล แค่ปลายนิ้วก็กดแชร์ได้แล้ว บางอย่างผิดถูกไม่แน่ใจ แต่แชร์ไว้ก่อน เราก็เลยอยากเป็นหนึ่งในองคาพยพที่ช่วยให้ผู้อ่านซึมซับการใช้ภาษาไทย โดยที่งานเราจะไม่ได้มีน้ำเสียงสั่งสอนนะ แต่เราใช้ในแง่ที่ทำเพื่อให้เขาเกิดข้อสงสัยแล้วไปค้นคว้าต่อ เคยมีสองครั้งที่เราเห็น ครั้งแรกคือมีนักอ่านมาบอกเราว่าเขาไปสอบ เราไม่แน่ใจว่า O-NET หรือเก้าวิชาสามัญ เขาบอกว่าข้อนั้นให้ดูคำที่สะกดถูก ซึ่งในตัวเลือกมันมีคำที่เราใช้ในงานเรา แล้วเขาตอบข้อนั้นถูกเพราะเห็นคำนั้นแล้วนึกถึงที่เราเคยใช้อะ มันเป็นความรู้สึกที่แบบ โห มีแรงแต่งต่อไปอีกสามสิบตอนเลย กับอีกคนเขาบอกเราว่า เพิ่งรู้เลยว่าคำนี้สะกดแบบนี้ แปลว่าแบบนี้ เราเห็นแล้วเราก็แบบ เออดีใจ คือเราไม่ได้ใส่ความหมายของคำลงในงาน แต่เขารู้ว่าแปลว่าอะไรแสดงว่าเขาไปค้นต่อ แค่นั้นเราดีใจแล้วจริง ๆ สองข้อนี้คือสิ่งที่เราคาดหวังหลัก ๆ สำหรับการเผยแพร่งานเรา
8. ความรู้สึกหลังจากที่ได้เห็นว่ามีนักอ่านจำนวนมากกำลังติดตามผลงานเขียนของตัวเองอยู่
ก็ตกใจค่ะ คือเราว่าคนอื่นคงคิดว่ามันไม่ได้มากจนรู้สึกถล่มทลายอะไรขนาดนั้น แต่มันมากกว่าที่เราคิดไปเยอะมาก สองคือรู้สึกขอบคุณค่ะที่ตัดสินใจมาตามมาอ่านกัน ข้อสามอันนี้แจ่มชัดที่สุดในบรรดาทุกความรู้สึกนะ คือกดดัน (หัวเราะ) เพราะพอคนอ่านมากขึ้นก็เหมือนความรับผิดชอบต้องมากขึ้นด้วยใช่ไหมล่ะ แบบว่าการตรวจสอบข้อมูล ตรวจปรู๊ฟ เกลาภาษา ใด ๆ เราต้องพิถีพิถันกับมันมากกว่าเก่าหลายเท่าตัว เพราะพอกดเผยแพร่แล้วมันแก้ไขได้ก็จริง แต่คนอ่านอ่านไปแล้วนี่ หากสะเพร่าสำหรับเรามันเรียกว่าการดูถูกคนอ่าน เราไม่อยากให้นักอ่านเรารู้สึกแบบนั้น ก็เลยต้องทำงานหนักขึ้น แต่เรารักงานเรา รักนักอ่านเราทุกคน ก็เลยไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งทรมาน บำเพ็ญทุกรกิริยา
9. มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการสนับสนุน LGBTQ+ ในสังคมไทย
เราว่าในสังคมไทยยังใช้คำว่า “สนับสนุน” ได้ไม่เต็มปากเสียด้วยซ้ำ โอเคมันเปิดกว้างมากขึ้นก็จริง แต่เปิดกว้างไม่เท่ากับสนับสนุน คือสังคมไทยมันเป็นการยอมรับแบบมีข้อแม้อะ เป็นได้นะ แต่… แต่ต้องเป็นคนดี แต่ต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ต้องไม่ใช่ลูกฉัน อันหลังนี่เจ็บสุดเลย คือขั้นแรกต้องปรับให้คนเรามองคนทุกคนเป็นคนเท่ากันเสียก่อนก่อนจะไปคิดอย่างอื่นเลย ยิ่งกับสถาบันแรกอย่างครอบครัว LGBTQIA+ ไม่ใช่อาการป่วย ไม่ใช่โรค การที่เขาแตกต่างจากขนบหรือกรอบที่สังคมขีดเอาไว้ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนไม่ดี เรื่องเพศเป็นประเด็นที่เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ในอนาคตก็ต้องเรียนรู้ต่อไปอีก มันไม่จบไม่สิ้น แต่ทุกคนก็คือคนเท่ากัน ปัญหาคือคนในสังคมส่วนมากยังไม่สามารถมองความเท่าเทียมตรงนี้ได้ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่คนกลุ่มนี้ควรจะได้รับเขาจึงไม่ได้รับ ประเทศเรามันพัฒนามาบ้างแล้วก็จริง ส่วนหนึ่งจากการมี social media นะเราว่า จากแต่ก่อนที่หากเราก่นด่ามันจะอยู่แค่กับเรา แต่พอเป็นในยุคนี้มันสามารถส่งสารได้ไวกว่า ก็ถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ก็อย่างที่บอก สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานพวกเขายังไม่ได้รับเลย สมรสเท่าเทียม การเปลี่ยนคำนำหน้า หรือการที่พวกเขายังถูกเลือกปฏิบัติมันยังคงอยู่อะ เราคิดว่ามันคงต้องใช้เวลา อาจจะสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี เราพูดแต่หลักสิบเพราะคิดว่ามันคงนานพอที่จะให้คนเราเข้าใจและยอมรับความแตกต่างในสังคม และเลิกยึดถือขนบว่าโลกต้องมีแค่ชายกับหญิงได้แล้ว อันนี้ขอพูดแบบมีความหวังด้วยเพราะวัยเราที่ไม่ได้อายุเยอะน่ะนะ เรามองว่าเรามีโอกาสที่จะได้พูดอย่างเต็มปากว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ “สนับสนุน” LGBTQIA+ แต่อาจจะต้องพูดด้วยน้ำเสียงแหบ ๆ นิดนึงนะ เพราะคงแก่แล้วตอนนั้น
10. คิดว่านิยายหรือฟิคชั่นมีผลต่อมุมมองและทัศนคติของผู้อ่านที่มีต่อ LGBTQ+ ไหมคะ
อาจจะมีหรือไม่มีขึ้นอยู่กับเนื้อหาของวรรณกรรมนั้น ๆ และประสบการณ์ของแต่ละบุคคลนะเราว่า แต่สำหรับคนช่วงวัยที่ยังไม่โตมาก คิดว่ามีผลทำให้เขาได้รับรู้ถึง diversity ของสังคม ได้มองเห็นว่าความรักไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็เป็นความรัก คืออาจจะไม่จำเป็นต้องสองคนก็ได้ polyamory ก็ทำให้เขาได้เข้าใจความรักในรูปแบบอื่นมากขึ้น เปิดมุมมองของตัวเองที่กว้างขึ้น พูดถึงเรื่องนี้แล้วเราก็นึกถึงตัวเอง คือเราเคยอ่านนิยายเรื่องหนึ่งที่ตัวละครมีความสัมพันธ์แบบนี้ polyamory คือมันเปิดโลกเรามากจริง ๆ แบบว่าเราไม่เคยรู้มาก่อนจนกระทั่งได้มาอ่าน เป็นสิ่งยืนยันว่าการอ่านมันสร้างอะไรได้หลายอย่างนะ อะไรที่ไม่รู้ก็ได้มารู้จากการอ่านนี่แหละ
11. ข้อความฝากถึงนักอ่านของตัวเอง
ขอบคุณค่ะ คือเราไม่รู้จะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้ บอกตรง ๆ แต่ก่อนเราเป็นคนโลกมืดมาก คือหมายถึงเราใช้ชีวิตแบบไร้เป้าหมาย ชนิดที่ว่าถ้าหลับไปเฉย ๆ ไม่ตื่นมาอีกก็ไม่เป็นไรเพราะเราไม่ได้มีสิ่งที่อยากทำเป็นพิเศษ แต่พอวันนี้เรามีทุกคน เรามีเพื่อนมากขึ้น เรามองนักอ่านเราเป็นเพื่อน ๆ กันหมดเลยนะ เราคุยกันได้หมดไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นแค่เรื่องนิยาย มันเปิดโลกเรามาก ทำให้เรารู้ว่าเรายังมีสิ่งที่อยากทำนะ และการที่เรามาอยู่ตรงนี้ได้มันเป็นเพราะเรามีพวกคุณทุกคนที่คอยให้กำลังใจเรามาเสมอ เราพูดอยู่บ่อยครั้งว่าเราจะไม่มีทางมาถึงตรงนี้ได้เลยถ้าไม่มีพวกคุณทุกคน และวันนี้เราก็จะพูดมันอีกครั้ง เราไม่รู้จะตอบแทนยังไงกับสิ่งดี ๆ ที่ทุกคนมอบให้มา เอาเป็นว่าเราจะพยายามทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ที่สุดให้สมกับที่ทุกคนคาดหวังและรอคอย จะไม่ทำให้ผิดหวังที่ตัดสินใจจะร่วมเดินทางบนถนนเส้นนี้ไปด้วยกัน
จบกันไปแล้วนะคะกับบทสัมภาษณ์ของคุณพิม นักเขียนแนว Fanfiction ในนามปากกา “DWIN” นั่นเอง
คุณผู้อ่านสามารถติดตามผลงานของ DWIN โดยเฉพาะ “จักรวาลของพี่สันต์” ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความคลาสสิคและแนวพีเรียด เช่น หทัยสัตยา ขวัญตาธีรดนย์ ดวงกมลศรัณย์ และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ได้ทางช่องทางด้านล่างเลยนะคะ
0