“สำหรับคนที่พระเจ้าทอดทิ้ง บาร์ก็เหมือนโบสถ์ของพวกเขา
ไม่มีใครนั่งกินเหล้าเงียบๆ ไปตลอดโดยไม่หลุดปากสารภาพบาปกับคนชงเหล้าได้หรอก”
เรื่องราวเรียบเรื่อยจนติดจะซ้ำซาก สามสิบคืนในบาร์ปริศนาที่ซ่อนตัวในหลืบลึกของตรอก N ใต้แสงไฟสลัว และภาพวาดฝาผนังรูปอีกากับโนอาห์จากตำนานน้ำท่วมโลกเชิญท่านร่ำสุราเคล้าความทุกข์ พลางเงี่ยหูฟังบทเพลงแว่วหวานจากเครื่องเล่นแผ่นไวนิลไปพร้อมกัน
Moonrabbit
แหล่งรวมจิ๊กซอว์ของเรื่องราวที่กระจัดกระจาย ชิ้นส่วนของชีวิตที่หลุดกระเด็นหรือสูญหาย เหล่าผู้สัญจรที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความเศร้าโศก ความโกรธแค้น ล้วนผลัดกันเดินวนเวียนเข้าออกในโบสถ์เพื่อสารภาพผิดแต่อาจไม่ได้หวังจะไถ่บาป. ตอนแรกที่อ่านจบ เราใช้เวลาปะติดปะต่อนานกว่าเล่มอื่นของคุณนักเขียน จนในที่สุดเราก็ตระหนักว่า ไม่จำเป็นเลย เรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละที่ เกิดและสิ้นไปตามเจตนาของมัน ไม่จำเป็นต้องปะติดปะต่อเรื่องราวใดใด เพราะแม้ว่าจะเป็นคน ๆ เดียวกัน แต่อาจมีจุดจบที่ต่างกัน เป็นการเล่าเรื่องแนวใหม่ที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจมาก เราเขียนวิเคราะห์เรื่องนี้เอาไว้ด้วยล่ะ แต่สุดท้ายเราก็พบว่าเราคิดเยอะไป ทุกอย่างเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว เป็นนิยายกึ่งแฟนตาซีเคล้าไปกับเนื้อหาที่จิกกัดความรักแบบเจ็บแสบมาก หลังจากอ่านแล้วเพลง My Edward and I กลายเป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดของเราเลยล่ะ. ตระหยักเถิดว่า ‘‘อนุภาพของความรักนั้นร้ายแรงเพียงใด หากถลำลึกตกเป็นทาสแห่งรักแล้วไซร้ รักนั้นอาจทำให้สุขสมหรือเศร้าเจียนขาดใจได้เท่านั้น” ไม่อ่านพลาดเลยนะเล่มนี้.